ชายหนุ่มในนอร์เวย์กำลังตุนยารักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ และความเสี่ยงที่ตามมา
ชัดเจนว่าชายหนุ่มนอร์เวย์อายุ 15 ถึง 29 ปีอยู่เบื้องหลังปัญหาการเพิ่มขึ้นของการจ่ายยาสำหรับรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศอย่างเช่นไวอากร้า แต่สาเหตุของความต้องการเหล่านั้นคืออะไรกันแน่ เพราะอาการนี้ควรจะเกิดขึ้นในชายสูงอายุมากกว่าไม่ใช่หรือ เราลองมาดูปัญหานี้ให้ใกล้ขึ้นอีกนิด
สำนักข่าวประจำชาตินอร์เวย์ NRK รายงานว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ช่วงปี 2006 ถึง 2016 การจ่ายยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศในกลุ่มชายอายุ 15 ถึง 19 ปีเพิ่มขึ้น 94% และ 88% ในกลุ่มชายอายุ 20 ปี 24 ปี และชายอายุ 25 ถึง 29 ปี 52%
กรรมการสำนักยานอร์เวย์ Steinar Madsen กล่าวว่าการใช้ยาเพิ่มขึ้นในกลุ่มชายหนุ่มคือเรื่องที่ดี “ปัญหาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศพบได้ในชายทุกช่วงอายุ แต่ในกลุ่มชายที่อายุน้อย สาเหตุของอาการอาจจะเป็นได้ทั้งความเสียหายทางประสาท โรคเบาหวาน ฮอร์โมน ความไม่สมประกอบ และการใช้ยา ซึ่งตัวเลขนี้ชี้ว่ามีผู้ที่เข้าถึงยารักษาได้มากขึ้น” เขากล่าว
อย่างไรก็ตาม Petter Brelin ประธานสมาคมวิชาชีพนอร์เวย์กล่าวว่า “ผู้ชายที่อายุยังน้อยไม่ควรจะต้องการยาดังกล่าว” และ Kenneth Purvis ชี้ความผิดไปที่ความกดดันในหมู่คนใกล้ชิดที่จะต้องมีเพศสัมพันธ์และการเข้าถึงสื่อทางเพศที่ง่ายขึ้น
Brelin กล่าวว่าการใช้ยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศในกลุ่มคนที่อายุยังน้อยควรจะเป็นการใช้ยา”เพื่อรักษาในระยะสั้นและเพิ่มความมั่นใจในตัวเอง” แต่ Purvis มีความกังวลว่าผู้ใช้ยาจะมีปัญหาการเสพติดยาดังกล่าวและกลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตของพวกเขา
งานวิจัยในเดือนมิถุนายนปี 2011 ของนักศึกษาจำนวน 1,944 คนจาก 497 มหาวิทยาลัยทั่วอเมริกาพบว่า 11.1% ของเกย์ 2.9% ของชายแท้ และ 4% ของไบเซ็กชวลมีการใช้ยาเพิ่มสมรรถภาพโดยไม่จำเป็น (การใช้โดยที่ไม่มีอาการเสื่อมสมรรถภาพ) และงานวิจัยชิ้นเดียวกันยังเชื่อมโยงถึงการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันที่เพิ่มขึ้น คู่นอนที่มากขึ้น และการใช้ยาอื่นๆร่วมกัน
การใช้ยาโดยไม่จำเป็นยังมีความเสี่ยงทางการแพทย์เช่นกัน ราว 61% ของผู้ใช้ยาไม่รู้ปริมาณที่ตัวเองกำลังใช้ ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้ยาเกินขนาด ความเจ็บปวดขณะอวัยวะเพศแข็งตัว และอาจก่อให้เกิดผลเสียระยะยาวอีกด้วย
นอกจากนั้นยาไวอากร้ายังมีผลในการคลายหลอดเลือด แพทย์จึงมีการเตือนในการใช้ยาร่วมกับยาป๊อปเปอร์ส (เอมิล ไนเตรท) เพราะเมื่อใช้ร่วมกันแล้วสามารถทำให้เกิดการลดลงของความดัน ซึ่งนำไปสู่การหมดสติหรืออาการหัวใจวายได้
